คนสมัยก่อน ชอบสอนให้ลูกหลานสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน เพื่อจะได้หลับสบายไม่ฝันร้าย เมื่อคนเฒ่าคนแก่ได้จาก ๆ กันไปก็ขาดคนสนใจที่จะสั่งสอนลูกหลาน บางคนได้เคยฟัง เคยรู้มาบ้างก็ใช้วิธีกราบหมอนก่อนนอนแทน พอมายุคปัจจุบัน ก็จะมีเฉพาะแต่คนแก่บางกลุ่ม หรือคนที่เชื่อในไสยศาสตร์บางกลุ่มที่ยังมีการสวดมนต์กันอยู่บ้างแม้จะมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน คนแก่ก็อยากสร้างกุศลก่อนที่จะละจากโลกนี้ไปเพราะไม่รู้จะยึดเหนี่ยวอะไร บางครั้งจึงโดนหลอกให้หลงเชื่อพวกขายบุญ และเชื่อในสิ่งที่เขาเหล่านั้นบอกว่าจะได้เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว โดยนำบุญกุศลมาเป็นตัวล่อให้หลงเชื่อ ส่วนลูกหลานเห็นการกระทำอย่างนั้นเขาก็ไม่เชื่อ (เด็กสมัยใหม่บางครั้งความเชื่อก็อยู่เหนือเหตุผลเหมือนกัน เพราะว่ามองคนละมุมกัน คิดไม่เหมือนกัน) ต่อว่าผู้ใหญ่ว่างมงาย ทำบุญไปทำไมเยอะแยะ ให้ลูกให้หลานใช้ยังจะดีเสียกว่า ก็อาจจะเกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันเสียเปล่า ๆ

ผู้เขียนจึงอยากแนะนำให้ใช้การสวดมนต์ให้เกิดเป็นกุศล ซึ่งทุก ๆ คน สามารถทำได้ตั้งแต่เด็กเล็ก ๆ หนุ่มสาว คนแก่คนเฒ่า อย่าคิดว่าไว้ทำตอนแก่เพราะอาจสายเกินหรือหมดโอกาส สังขารรับไม่ไหว และไม่เคยหัดทำมาก่อนก็เลยทำไม่เป็น ฝึกหัดทำตั้งแต่วันนี้โดยไม่ต้องเสียเงินทอง เสียเวลาก็ไม่มากนัก เพราะสามารถทำได้ที่บ้าน มีเวลาว่างช่วงไหนพร้อมที่จะทำก็ทำได้ ไม่ว่าเช้า สาย บ่าย ค่ำ สามารถทำได้ทุกเวลาที่เราพร้อม ร่างกายพร้อม จิตใจพร้อม โดยที่ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน

เราได้ประโยชน์อะไรจากการสวดมนต์ เราได้สติจากการที่ได้อ่าน ได้ออกเสียงเบา ๆ จะทำให้ไม่หลงลืมง่าย ได้ความมั่นใจจากการที่เราสวดมนต์ นั่งสมาธิให้สำเร็จอย่างใจที่เราปรารถนา ก็จะเกิดความเชื่อที่เราสามารถทำได้ เกิดความสบายใจจากการที่ได้พักผ่อนในขณะสวดมนต์ จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน จึงเกิดปิติความสบายใจ

pray_moradokmongkol

ในทางพระพุทธศาสนา การสวดมนต์สามารถทำให้จิตใจสงบ ลดละกิเลส เสริมบุญเสริมกุศล เสริมบารมี ปรับระดับจิต หากทำให้ถูกวิธีก็สามารถ ทำให้เกิดเป็นพลังงานต่าง ๆ ได้อีกมาก

การสร้างบารมี 10 ประการ ซึ่งเป็นการสร้างเสริมบารมีมาแต่สมัยโบราณ ซึ่งคนสมัยก่อนจะทำการอธิษฐานบอกเจตนาและสิ่งที่ปรารถนาก่อนที่จะทำการสวดมนต์ และเมื่อสวดมนต์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นั่งสมาธิสงบจิต แล้วจึงกรวดน้ำแผ่เมตตา อุทิศส่วนบุญกุศลออกไปให้แก่ผู้อื่น จากสาเหตุที่เราได้ตั้งใจสวดมนต์และได้กระทำจนสำเร็จแล้วนี้ เราก็จะได้สร้างบุญบารมีทั้ง 10 ประการให้เกิดขึ้น ตามแบบดั้งเดิมของพระพุทธศาสนา ซึ่งบางท่านอาจจะละเลยหรือหลงลืมกันไป ด้วยความที่ไม่ได้ปฏิบัติต่อ ๆ กันมา ซึ่งบุญและกรรมทั้งหลายที่ส่งผลมากน้อยล้วนเกิดด้วยความตั้งใจของตนนั่นเอง

การสวดมนต์จะบังเกิดเป็นบารมี 10 ประการได้อย่างไร

  1. การที่เราเอาตัวของเราเข้าไปนั่งหน้าพระสวดมนต์ ขณะที่เราก็มีหน้าที่การงานที่จะต้องทำมาหากินอยู่แล้ วแต่ก็ได้สละเวลาของตัวเองแผ่ผลบุญให้แก่ผู้อื่นจัดเป็น ทานบารมี
  2. ขณะสวดมนต์นั้น กายและวาจาของเราสงบเรียบร้อยจัดเป็น ศีลบารมี
  3. เมื่อมีศีลใจเราก็ปลอดโปร่งจากสิ่งเย้ายวนจาก ราคะ ไกลจาก ราคะ จัดเป็น เนกขัมมะบารมี
  4. รู้จักจัดแจงเวลาหรือหาเวลาที่จะทำการสวดมนต์ด้วยรู้ประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ จัดเป็น ปัญญาบารมี
  5. ขณะสวดมนต์เรามีความพยายามที่จะสวดให้สำเร็จสมบูรณ์ จัดเป็น วิริยะบารมี
  6. ขณะสวดมนต์อยู่และพยายามสวดมนต์อยู่นั้น อาจจะมีคนมาเรียกหาหรือปวดขา ปวดเอวขึ้นมา แต่เรายังสวดมนต์ไม่จบเราก็ยังมีความอดทนที่จะสวดมนต์ให้จบตามเป้าหมายอย่างนี้ จัดเป็น ขันติบารมี
  7. เมื่อตั้งใจจะสวดมนต์ให้จบด้วยความจริงใจอย่างนี้ จัดเป็น สัจจะบารมี
  8. เมื่ออดทนด้วยความจริงใจตามที่ได้ตั้งใจไว้ตามที่กำหนดไว้จัดเป็น อธิษฐานบารมี
  9. เมื่อสวดมนต์จิตก็เป็นกุศลธรรมมีความปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข จัดเป็น เมตตาบารมี
  10. ความที่จิตมีเมตตา ขณะสวดมนต์ ไม่รักใคร ไม่ชิงชังใคร จิตวางเฉย ไม่ได้ยินดียินร้ายกับใคร จัดเป็น อุเบกขาบารมี

เราจึงสามารถสร้างบุญกุศลได้โดยใช้เวลาไม่มากนัก ไม่ต้องเสียเงินเสียทอง ทำได้ตลอดไม่มีเวลาจำกัด ขอเพียงเราเริ่มสละเวลาวันละ 10 – 15 นาทีเพื่อเสริมสร้างบารมีให้เกิดขึ้น เพื่อตัวของเรา ในขณะที่มีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องไปติดในชาติหน้าให้วุ่นวายใจ เมื่อเราทำวันนี้ให้ดีที่สุด พรุ่งนี้ก็จะดีเอง หากจะลองทำการสวดมนต์ตามแบบผู้เขียนได้ปฏิบัติมาก็ลองทำดูได้(อ่านต่อ)