มีหลาย ๆ ท่านที่รู้จักมีความต้องการให้เขียนประวัติของหลวงตาวาสให้รู้กันบ้าง เพราะมีความสงสัยว่าทำไมถึงมีความศรัทธาในตัวของหลวงตาวาสและสร้างวัตถุมงคลให้หลวงตาวาสมากมาย ตลอด 20 ปี มานี้ ครั้งแรก ก็เกรงใจหลวงตาวาส กลัวว่าจะทำให้ท่านเดือดร้อนที่จะต้องรับแขกมากขึ้น แต่จากที่ได้ทำเหรียญอนุสรณ์หลวงปู่เอี่ยม 119 ปี ถวายให้หลวงตาวาสแจกจำหน่ายไปแล้ว ก็มีคณะศิษย์เข้ามาหาท่านมาก หลวงตาวาสขณะนี้ก็มีอายุ 98 ปีแล้ว เกรงว่าท่านจะเหนื่อยแต่กลับเป็นว่าท่านแข็งแรงขึ้น
ประสบการณ์ส่วนตัว
หลวงตาวาสก็คงจะเหมือนคนชราทั่ว ๆ ไป ที่เหงาเมื่อไม่มีใครไปหา พอมีคนไปหาได้พูดได้คุยเลยไม่เหงาและสดชื่นมากยิ่งขึ้นเมื่อมีคนดูแลเอาใจใส่ ก็เลยจะขอเขียนประวัติส่วนตัว เท่าที่ได้สัมผัสรับรู้ได้มีประสบการณ์และได้เรียนรู้มาจากหลวงตาวาสเท่าที่จะพอจำได้ เพราะส่วนตัวแล้วไม่ค่อยได้จดบันทึกหรือถ่ายภาพไว้ นอกจากวัตถุมงคลบางรุ่น ที่มีการบันทึกข้อมูลไว้ให้กับผู้ร่วมหุ้นส่วนในการจัดสร้างขึ้นถวายหลวงตาวาสเท่านั้น
เมื่อครั้งอยากเรียน
สมัยที่ยังอยากรู้อยากเรียนอยากทดลอง ก็เที่ยวขอเรียนวิชาจากพระเกจิอาจารย์ที่ดูแล้วเกิดศรัทธา ไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ฆราวาส เรียนทั้งนั้นไม่ว่ากรรมฐาน พระเวทย์ อักขระ การทำพระ การสร้างแม่พิมพ์พระ การปลุกเสกพระตามคติแบบโบราณ เทคนิคกลโกง เวทย์มนต์สายหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง, หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า, สมเด็จพระสังฆราช แพ วัดสุทัศน์และอีกหลาย ๆ สายจากหลายอาจารย์ รวมทั้งกรรมฐานของวัดพลับ
มีผู้สืบทอดตะกรุดสายวัดสะพานสูง
กระทั่ง พอจะมีความสามารถในหลาย ๆ ด้านและก็ยังมีความอยากเรียน อยากรู้วิชาของอีกหลายสายและสืบรู้มาว่า ที่วัดสะพานสูง ยังมีพระที่ได้สืบทอดวิชาในสายของหลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม วัดสะพานสูงอยู่ แถมท่านยังมีวิชาอาคมขลัง ได้ใช้วิชาอาคมช่วยเหลือเหล่าคณะศิษย์ที่มีความศรัทธาเลื่อมใสแถมยังมีการทดลองกันต่อหน้าต่อตา ได้มีลูกศิษย์ลูกหาของท่านมาเล่าให้ฟังหลายคน บางคนยังมีตะกรุดของท่านมาอวดให้ดูด้วย
ส่งเพื่อนไปดู
เมื่อมีคนมาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับพระที่วัดสะพานสูงให้รู้ จึงได้บอกให้เพื่อนที่เป็นนายทหารที่ชอบเรียนวิชาอาคมเหมือนกัน ให้ทดลองเข้าไปหาท่านดูก่อน เมื่อผู้พันเข้าไปที่วัดก็กลับมาบอกว่า ท่านไม่อยู่ไปธุดงค์ ต้องไปหาหลายครั้งกว่าจะรู้ว่า ชื่ออะไร อยู่ที่ไหนและกว่าจะได้พบตัวท่าน ได้กราบ ได้พูดได้คุยและขอเรียนวิชาตะกรุดจากท่าน ซึ่งท่านก็ไม่ให้พอพูดถึงเรื่องขอเรียนวิชา ท่านก็จะนิ่งเฉยเสีย ไม่ยอมคุยด้วยอีก
ตะกรุดพิสดารดี
ผู้พันได้ขอเช่าวัตถุมงคลของท่านมา เช่น พระปิดตาและตะกรุดของท่านมาดอกหนึ่ง เมื่อมาตรวจดูก็แปลกใจเพราะพลังงานที่ออกมาจากตะกรุดไม่เหมือนของใคร ยิ่งมีศรัทธายิ่งทำให้ตะกรุดดีขึ้น ยิ่งมีการสวดมนต์ระลึกถึงก็ยิ่งดีขึ้นอีก มีทั้งเมตตา โชคลาภ แคล้วคลาด คงกระพัน แก้กันอาถรรพณ์ กันภูตผีปิศาจและยังมีความเจริญรุ่งเรืองอีกด้วย ซึ่งโดยปกติวัตถุมงคลจะมีดีหรือเด่นไปในทางในทางใดทางหนึ่ง ไม่ใช่ใช้ได้ครอบจักรวาลแบบนี้
เพื่อนยอมแพ้
พอได้ตรวจตะกรุดก็ยิ่งอยากรู้จักและอยากเรียนมากยิ่งขึ้น แต่ผู้พันเพียรไปหาอีกไม่กี่ครั้งก็โดนดี หลวงตาถามว่า ชีวิตหนึ่งใช้ตะกรุดกี่ดอก ผู้พันตอบว่า ถ้ารักษาดี ๆ ดอกสองดอกก็พอแล้ว หลวงตาบอกว่า “งั้นเอาไปสองดอก จะได้ไม่ต้องมาเรียน” อีกครั้งหนึ่งผู้พันก็ขอเรียนอีก หลวงตาท่านบอกว่า ศีลห้ายังรักษาไม่ได้ จะเรียนไปทำไม นี่ก็จะไปทำผิดศีลอีกแล้ว ผู้พันอายมาก จึงลาท่านกลับและไม่ไปขอเรียนอีกเลย
รู้ได้อย่างไร
ผู้พันกลับมาเล่าให้ฟังว่า หลวงตาแกรู้ได้อย่างไรว่ากำลังจะไปทำผิดศีลกันทั้ง ๆ ที่เหล้าก็อยู่ในรถยังไม่ทันได้ดื่มเลย แต่นัดกับพรรคพวกกันไว้ว่าจะไปดื่มกัน ผู้พันจึงขอยกเลิกเรื่องจะไปเรียนวิชาสายวัดสะพานสูง ซึ่งก็เห็นใจเขาเพราะไม่ใช่ไปกันง่าย ๆ แถมหลวงตายังไม่ยอมสอนวิชาให้อีก จึงหมดกำลังใจที่จะไปหา ก็เลยถึงคราวที่จะต้องไปเองแล้ว ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เพราะบ้านอยู่บางขุนเทียน ขี่มอเตอร์ไซต์ไปปากเกร็ด นนทบุรี คิดแล้วเหนื่อย
ไปวัดสะพานสูง
เริ่มจากบางขุนเทียนไปท่าน้ำนนทบุรี อ้อมตามแม่น้ำไปเรื่อย ๆ ออกปากเกร็ด เข้าถนน 345 เข้าซอยไปอีก 2-3 กิโล กว่าจะถึงวัดสะพานสูง ซึ่งต้องใช้เวลาและความอดทนอย่างมากกว่าจะถึง หากไม่มีศรัทธาแล้วก็คงไม่มีใครไปกัน สมัยก่อนถนนหนทางก็ยังไม่ค่อยดี เปลี่ยวก็เปลี่ยว หรือถ้าจะไปทางเรือก็ต้องเหมาเรือจากท่าน้ำปากเกร็ดมาที่วัด เคยทดลองนั่งรถเมล์จากบ้านต้องใช้เวลา 4-5 ชั่วโมง กว่าจะถึง มีครั้งหนึ่งกลับเย็นไปหน่อย ต้องใช้เวลา 6 ชั่วโมงกว่า ๆ กว่าจะถึงบ้าน
หลวงปู่เอี่ยม
คนที่ไปวัดสะพานสูงส่วนใหญ่แล้วนับถือหลวงปู่เอี่ยม ปฐมนามกันทั้งนั้น ถึงแม้ท่านจะละสังขารไปนานแล้วก็ตาม แต่ท่านยังคงความศักดิ์สิทธิ์ ช่วยเหลือศิษย์อยู่เสมอมาไม่ว่ามีทุกข์มีร้อนอย่างไรเมื่อไปบอกท่านขอความช่วยเหลือจากท่านก็มักจะสำเร็จผลกันอยู่เสมอ ๆ รูปเหมือนหลวงปู่เอี่ยม อยู่ในกรอบกระจก (ปัจจุบันไม่มีแล้ว) บางคนเรียกท่านว่าหลวงปู่ในตู้ หน้าโบสถ์สมัยนั้นยังมีเจดีย์ไว้อัฐิของญาติโยมเต็มไปหมด มองดูวังเวง น่ากลัวทีเดียว
หลวงตาวาส
เมื่อกราบหลวงปู่เอี่ยมเรียบร้อยแล้วก็ได้ขึ้นไปกุฏิคณะ 2 ชั้น 2 ซึ่งเป็นที่อยู่ของหลวงตาวาส สีลเตโช เดิมทีท่านอยู่ในโบสถ์เก่า ส่วนห้องใหม่นี้เป็นห้องโล่ง ๆ ไม่ได้กว้างใหญ่อะไรนัก มีโทรทัศน์เก่า ๆ อยู่ที่มุมด้านซ้าย โต๊ะหมู่บูชาอยู่ที่ด้านขวามือ หลวงตาวาสนั่งอยู่หน้าโต๊ะหมู่ เท่าที่เห็นหลวงตาวาสก็เป็นพระชรารูปหนึ่งที่เรียบง่าย ไม่มีสมบัติอะไร ผิวพรรณผ่องใส ครองจีวรพาดไหล่ ดูสะอาดตา นัยน์ตาใสแฝงความเข้มแข็ง ประกอบกับกริยานิ่ง ๆ ของท่านดูแล้วน่าเกรงขามเอาเรื่อง
กราบหลวงตาวาส
ได้เข้าไปกราบหลวงตาวาสในห้องของท่านและได้ถวายดอกไม้เป็นเครื่องสักการะท่านแล้ว ได้ขอเช่าตะกรุดจากท่าน หนึ่งดอก 300 บาท และได้พูดคุยกับท่านเรื่องโน้นเรื่องนี้ แล้วถามถึงเรื่องตะกรุดว่าเรียกว่าตะกรุดอะไร ดีอย่างไร ท่านก็ไม่ค่อยยอมพูดกับเราเท่าไรนัก ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่ยังไม่มีความรู้จักมักคุ้นกัน พอถามเรื่องตะกรุดอีกท่านก็ว่าลองเอาไปใช้ดูและชวนเราคุยเรื่องอื่น ๆ อีก ก็ได้แต่คิดว่าพระรูปนี้เอาเรื่องแฮะ
ขอเรียนวิชา
ได้ไปกราบหลวงตาวาสอีกหลายครั้ง จนเชื่อว่าคุ้นเคยกันดีแล้ว จึงเริ่มสอบถามเรื่องอานุภาพของตะกรุดมหาโสฬสมงคลที่ท่านจาร พอคุยถึงเรื่องนี้ท่านก็เฉยอีกแถมตาแข็ง ๆ และเปลี่ยนเรื่องพูด พอไปหาท่านในคราวต่อไปก็พยายามพูดถึงเรื่อย อานุภาพของตะกรุดอีกท่านก็นิ่งเฉยอีก พอไปหาท่านอีกครั้งเมื่อคุยกันได้สักพัก เห็นว่าท่านกำลังอารมณ์ดีก็เลยหยิบดอกไม้ออกมากราบขอเรียนกับหลวงตาวาสเลย
ชีวิตหนึ่งใช้ตะกรุดกี่ดอก
คราวนี้ได้เรื่องเลย ท่านขึงขังตาแข็งดุ และถามว่า ชีวิตหนึ่งของเธอจะต้องใช้ตะกรุดสักกี่ดอก ก็ตอบหลวงตาไปว่า ถ้าไม่หายดอกเดียวก็พอ หลวงตาวาสท่านจึงบอกว่า เอาไปเผื่อสามดอกจะได้ไม่ต้องเรียนให้เสียเวลา ก็เลยบอกกับท่านไปว่าที่อยากเรียนไว้ก็เพื่อสืบต่อวิชาในสายต่อไป วิชาในสายวัดสะพานสูงจะได้ไม่สูญหายไป หลวงตาวาสท่านก็เฉยและเปลี่ยนเรื่องคุย
วันที่ได้เรียน
วันนั้นได้ไปหาหลวงตาวาส เห็นหลวงตาวาสกำลังนั่งกรรมฐานโดยมีผู้หญิงกลางคนและเด็กหนุ่ม ๆ อาจจะเป็นแม่ลูกกัน มานั่งกรรมฐานกันอยู่ เลขเข้าไปนั่งเงียบ ๆ ในมุมหนึ่ง พอเขานั่งกรรมฐานกันเสร็จก็จะแจ้งกรรมฐานกัน เขาก็มองมาทางเรา ก็เลยบอกว่าไม่เป็นไรหรอกครับตามสบาย เมื่อเขาแจ้งบอกหลวงตาวาสแล้วก็ได้นั่งคุยอยู่กับหลวงตาสักพักหนึ่งจึงลากลับไป
จบกรรมฐานแล้ว
พอสองแม่ลูกนั้นกลับไปแล้วก็ได้เข้าไปกราบหลวงตาวาสและบอกหลวงตาวาสว่าพอถึงตรงนี้ ต่อไปก็จะเป็นอย่างนี้ ตามบทพระกรรมฐานต่อไปใช่ไหมครับ หลวงตานั่งนิ่งไปพักหนึ่งก็อุทานว่า ฮะ เธอเรียนจบกรรมฐานมาแล้วเหรอ น้อยคนนะจะทำได้ หลวงตายังถามอีกว่า เธอได้ร่ำเรียนอะไรมาบ้างแล้วละ ก็บอกท่านว่า ได้เรียนมาจากสำนักต่างๆ บ้างแล้วและได้เรียนจากสำนักวัดสุทัศน์ซึ่งก็มียันต์มหาโสฬสมงคลเหมือนกัน แต่ดูไม่เหมือนที่วัดสะพานสูง จึงอยากเรียนเพิ่มเติม
ได้ตำราหลวงตาวาส
หลวงตาวาสก็ว่า เอาก็เอา แล้วท่านก็ค้นหาของอะไรอยู่พักหนึ่ง ก็หยิบหนังสือปกอ่อน มีกระดาษสีน้ำตาลห่อเป็นปกหนังสือให้มา หลวงตาวาสว่าลองเอาไปศึกษาดู เมื่อรับหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาเปิดดูจึงเห็นว่าเป็นตำราเลขยันต์ เขียนด้วยลายมือ จดบันทึกรูปแบบยันต์และพระเวทย์ต่าง ๆ เมื่อสอบถามหลวงตาวาสท่านก็บอกว่าเป็นของท่านเองที่จดรวบรวมไว้กันลืม ท่านบอกว่าแต่เดิมที่เรียนต่อ ๆ กันมาไม่ค่อยมีใครจดไว้เป็นตำรา เพราะว่าต่างคนต่างหวงแหน มาในยุคของท่านได้คิดลอกไว้และสูญหายไปบ้างก็มี
ศึกษาตำราของหลวงตาวาส
ในตำราของหลวงตาวาส ก็คล้าย ๆ ของอาจารย์ท่านอื่น ๆ ที่จะลงรายละเอียดไว้พอสมควร หากไม่มีภูมิรู้หรือไม่เคยศึกษาก่อนก็จะไม่เข้าใจ ไม่ได้ประโยชน์อะไรนักแต่โดยส่วนตัวได้เรียนมาจากหลายสำนักและส่วนใหญ่ที่เรียนได้เรียนสืบต่อกันมาโดยมีครูประสิทธิ์ให้จึงค่อนข้างเข้าใจ ไม่ใช่เรียนจากตำรา เพราะในตำราโดยทั่วไปจะบอกไว้ไม่หมด หากได้แต่ตำราเข้าของตำราไม่อธิบายความในให้เข้าใจก็ค่อนข้างจะต้องเดาเอาลำบากและมีโอกาสผิดพลาดได้
ถ่ายตำราลายมือของหลวงตาวาส
ได้นำตำราของหลวงตาวาสไปถ่ายเอกสารเก็บไว้ศึกษาและจดบันทึกบางส่วนที่ไม่เข้าใจเอไว้ เพราะลายมือหลวงตาวาสบางอย่างก็อ่านยากต้องเดาเอาก็มี บางอย่างหลวงตาวาสก็ละหายไปก็มี อักษรที่ใช้บางทีก็เป็นคำแบบโบราณ สำนวนเก่า ๆ รูปแบบที่บันทึกไว้ก็แปลก ๆ ตา การเรียนอักขระและคำบางคำก็เป็นแบบโบราณ อ่านค่อนข้างยาก จึงต้องใช้เวลาทำความเข้าใจอยู่พักนึ่งจึงได้กลับไปหาหลวงตาวาสอีก
หลวงตาวาสเมตตา
เมื่อนำตำราของหลวงตาวาสไปคืนท่านแล้ว ก็ได้สอบถามในสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่เข้าใจ กลวิธีต่าง ๆ หลวงตาวาสก็เมตตา อธิบายรายละเอียดให้เข้าใจและบอกเรื่องราวความเป็นมาต่างๆ โดยไม่ปิดบัง สอบถามอะไรหลวงตาวาสก็เมตตาตอบให้ แม้แต่บางส่วนที่ละไว้ ซึ่งถือว่า หลวงตาวาสมีความรู้ในอักขระเลขยันต์ที่เดียว ทั้งรู้ ทั้งจำได้ ทั้งทำได้ ทั้งสอนได้ นับวันจะหาครูบาอาจารย์ที่ครบเครื่องแบบหลวงตาวาสได้ยากเต็มที
ยันต์มหาโสฬสมงคล
พอสอบถามถึงเรื่องยันต์มหาโสฬสมงคล หลวงตาก็อธิบายให้เข้าใจยันต์โสฬสของสายวัดสะพานสูงและยังสอบถามถึงยันต์มหาโสฬสของสายวัดสุทัศน์ที่ได้เรียนมาก็ได้อธิบายให้หลวงตาเข้าใจซึ่งท่านก็รับรู้และยังบอกให้ใช้ยันต์มหาโสฬสของท่าน ซึ่งสะดวกกว่า เพราะการที่จะลงยันต์มหาโสฬส จะต้องมีเครื่องคำนับครูและเทพยดาต่าง ๆ เช่น บายสีซ้ายขวา ต้มแดง ต้มขาว หมูนอนตอง เป็นอย่างน้อย และลงได้เฉพาะวันอังคารและวันเสาร์ก่อนเที่ยงเท่านั้น
หลวงตาวาสรับเป็นศิษย์สืบทอด
หลวงตาวาสบอกให้เรียนยันต์โสฬสของท่านตามสายของหลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม วัดสะพานสูง โดยหลวงตาวาสได้รับเป็นศิษย์และอนุญาติให้ยกเว้นเครื่องบวงสรวงต่าง ๆ โดยให้จัดเครื่องบูชาส่งขวัญข้าวให้ครูบาอาจารย์และเหล่าเทพยดาทั้งหลาย ปีละครั้งโดยไม่ต้องกังวลกับพิธีกรรมบางอย่างและสามารถลงได้ทุกวัน ทุกเวลา ซึ่งหลวงตาวาสก็ได้อธิบายความเป็นมาของการบูชาครูหรือเครื่องคำนับครูให้รู้และให้ปฏิบัติสืบต่อวิชาในสายวัดสะพานสูงต่อไป
เริ่มทำตะกรุดมหาโสฬสมงคล
เมื่อได้เรียนรู้วิธีทำตะกรุดโสฬสมงคลจากหลวงตาวาสแล้วก็ได้ทดลองลงดูและปลุกเสกจนแน่ใจแล้วจึงนำไปให้หลวงตาวาสดู พอหลวงตาวาสรับตะกรุดก็ทำหน้าดุ ดวงตาดุ แต่ไม่ว่าอะไรและหลวงตาวาสก็เริ่มปลุกเสกตะกรุดที่ได้ทำให้ท่านดู ปรากฏว่าขณะที่หลวงตาวาสปลุกเสกอยู่นั้น ผิวหนังของท่านขึ้นตุ่มหนามตามมือถึงศรีษะ หลวงตาวาสปลุกเสกอยู่สักพัก ก็ทำใหม่อีก จนครั้งที่สาม ผิวหนังของท่านจึงปกติและปลุกเสกตะกรุดดอกนั้นอีกพักหนึ่งจึงส่งคืนมาให้
คนใช้ตะกรุดไม่ใช่ตะกรุดใช้คน
เมื่อหลวงตาวาสมอบตะกรุดคืนมาให้ หลวงตาวาสก็ว่า “เธอปลุกเสกมากจนเกินไป อย่าทำอย่างนี้อีก คนส่วนใหญ่ชอบตะกรุดที่มีอานุภาพแรง ๆ แบบนี้แต่ไม่รู้ว่า อานุภาพของตะกรุดสามารถควบคุมจิตใจของผู้ใช้ โดยเฉพาะถ้าตะกรุดนั้นมีอานุภาพทางคงกระพัน ก็จะยิ่งทำให้คนที่ใช้ตะกรุดมีจิตใจฮึกเหิม ชอบมีเรื่องมีราว ใจร้อนโดยไม่รู้ตัว เธอจะต้องปลุกเสกตะกรุดให้มีอานุภาพเย็นลง เพราะคนต้องเป็นผู้ใช้ตะกรุด ไม่ใช่ตะกรุดใช้คน”
วิชชาพิสดาร
หลวงตาวาสได้หยิบตะกรุดที่ท่านได้ลงค้างไว้อยู่ให้ดู เมื่อพิจารณาดีแล้วจึงเห็นว่าท่านจะลงตะกรุดทีละหลาย ๆ แผ่น โดยลงแผ่นที่อยู่ด้านบนก่อน เมื่อลงเสร็จปลุกเสกเสร็จ จึงนำแผ่นด้านบนสอดไว้ด้านล่างสุด ทำเช่นนี้จนครบทุกแผ่น แล้วจึงลงอีกด้านหนึ่งโดยใช้วิธีเดียวกัน แผ่นตะกรุดจึงถูกปลุกเสกทับซ้อนลงไปเรื่อยๆ ตามจำนวนแผ่นที่ลง หากลง 30 แผ่นก็จะต้องปลุกเสกถึง 60 ครั้งทุกแผ่น ดังนั้น ตะกรุดของหลวงตาวาส จึงมีอานุภาพมาก
วิชาปัดตลอด
หลวงตาวาสยังเมตตาอธิบายให้ฟังว่า ไม่ใช่แค่เสกแผ่นตะกรุดทุกครั้ง ที่ลงเสร็จแต่จะต้องเสกให้เป็นปัดตลอดโดยให้ทุกแผ่นมีอานุภาพเหมือน ๆ กันถึงแม้บางแผ่นจะไม่ได้ลงอักขระเลขยันต์ใด ๆ เลยก็ตาม ซึ่งวิชานี้ก็เป็นเรื่องแปลกเพราะโดยปกติเราจะปลุกเสกยันต์นะให้เป็น นะปัดตลอด ซึ่งก็ไม่ใช่ง่าย ๆ แล้วแต่นี้หลวงตาวาสให้เสกตะกรุดเป็นปัดตลอดด้วยนี่สิ แต่พอตรวจแผ่นยนต์ที่ยังไม่ได้ลงอักขระดูก็พบว่ามีอานุภาพจริง ๆ ก็เลยยิ่งแปลกใจ
ลองของ
พอกลับมาที่บ้าน ก็เริ่มมาคิดไตร่ตรองดูก็ยังไม่อยากจะเชื่อนักจึงนำแผ่นทองแดงมา 110 แผ่น ลงยันต์ด้านหลัง คือ ไตรรัตนาธิคุณถอยหลังและเสกให้เป็นปัดตลอดก็เกิดความประหลาดใจว่า อานุภาพของยันต์ในตะกรุดเพิ่มขึ้นได้มากจริง ๆ พอมาลงแผ่นด้านหน้าคือ ยันต์มหาโสฬสมงคลก็ลงเพียงแผ่นเดียวแต่เสกเป็นปัดตลอด ซึ่งแผ่นที่ไม่ได้ลงก็มีอานุภาพเช่น กัน เมื่อปลุกเสกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นำแผ่นยันต์ 10 แผ่นที่ไม่ได้ลงอักขระยันต์มหาโสฬสไปหาหลวงตาวาส
เสกยันต์ให้มีชีวิต
อีกอาทิตย์หนึ่งก็ไปหาหลวงตาวาสอีก (ปกติไปหาทุกวันพุธ) แต่บังเอิญหลวงตาวาสไม่ว่าง จึงได้แต่ฝากแผ่นที่ทำแล้วไว้กับหลวงตาก่อน อีกอาทิตย์หนึ่งจึงกลับไปหาหลวงตาวาสอีกครั้ง หลวงตาวาสก็ได้ส่งแผ่นทั้ง 10 แผ่นคืนให้และยังพูดว่า ก็ใช้ได้แล้วนี่ ทำปัดตลอดได้ก็ดีแล้ว แต่หากจะให้ดีกว่านี้ต้องเสกแผ่นให้มีชิวิตทุกครั้งก่อนที่จะลงยันต์ จึงจะสมบูรณ์ ก็ได้แต่งงว่าหลวงตาวาสเก่ง รู้ได้อย่างไรว่าแผ่นที่ไม่ได้จารอักขระไว้ เกิดจากยันต์ปัดตลอดที่ไม่ได้นำมาให้ท่านดู และยังจะให้เสกแผ่นเปล่า ๆ ให้มีอานุภาพให้มีชิวิตอีก
กราบหลวงตาด้วยหัวใจเต็มร้อย
กลับมาคราวนี้ก็ยิ่งแปลกใจและคิดหาทางทำให้ตะกรุดมีชีวิตโดยไม่ต้องลงอักขระซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ด้วยเหตุที่ได้เรียนกรรมฐานจากวัดพลับจนจบแล้ว จึงใช้กรรมฐานวัดพลับมาเสริมปรากฏว่า แผ่นยันต์มีอานุภาพได้จริง จึงได้ลงยันต์อีก 16 แผ่น ปลุกเสกเป็นที่เรียบร้อยก็นำไปให้หลวงตาวาสดูอีกครั้ง หลวงตาวาสก็ยิ้มและบอกว่า ”เก่งใช้ได้ พยายามจดจำและทำบ่อย ๆ จะได้เกิดความชำนาญมากยิ่งขึ้น ความเข้มขลังก็จะมากยิ่งขึ้นด้วย”
เรียนไม่หมดสักที
สมัยนั้นยังเป็นคนโง่ ถือว่าตัวมีความสามารถไม่สนใจผู้อื่นนัก ถึงเขาจะเก่งก็เก่งไปเรื่องของเขา เราพอมีวิชาพอที่จะรักษาตัวรอดได้ก็เลยไม่สนใจคนอื่น และยิ่งเห็นพฤติกรรมของบางท่านแล้วยิ่งอยากจะออกให้ห่าง ไม่อยากคบหาด้วย มาวันหนึ่งไปกราบหลวงตาวาส อยู่ ๆ ท่านก็ถามว่า “เวลาจะมีคนมาทำร้ายเธอเขาจะบอกเธอหรือเปล่า” ก็ตอบท่านไปว่า ใครเขาจะมาบอกเราก่อน ท่านก็เตือนว่า “สมาธิก็เช่นกันต้องรักษาจิตให้ได้ตลอดเวลา ไม่ใช่ทำได้ทุกครั้งที่อยากจะทำ ต้องทำจนไม่ต้องทำ”
หลวงตาวาส ทำพิธีรับเป็นศิษย์
ทุกวันพุธ หลังจากไปหาหลวงตาเผือด วัดมะกอกแล้วก็จะไปหาหลวงตาวาสต่อในตอนบ่าย บางครั้งท่านก็ลงตะกรุดไม่ทัน เพราะมีคนมาหามาก จึงได้ช่วยท่านลงตะกรุดให้บ้างแต่ยังไม่มากนัก จนมาถึงวันส่งขวัญข้าว ซึ่งหลวงตาวาสจัดแบบง่าย ๆ ตอนเช้าก็เริ่มพิธี หลวงตาวาสเรียกให้เข้าไปนั่งข้าง ๆ ท่าน แล้วจึงเริ่มจุดเทียน เมื่อจุดธูปเสร็จแล้วก็ส่งมาให้และเริ่มทำพิธีรับศิษย์ กล่าวเชิญครูบาอาจารย์จนเสร็จพิธีก็นิมนต์พระสี่รูปสวดพุทธมนต์ ฉันเพลเสร็จแล้วก็แจกของที่ระลึก ซึ่งเป็นของที่หลวงตาวาสได้ทำไว้เหล่าศิษย์ที่มาต่างก็มีความสุขที่ได้ร่วมทำพิธีไหว้ครู
ทำตะกรุดและวัตถุมงคลให้หลวงตาวาส
หลังจากส่งขวัญข้าวแล้ว ก็เริ่มช่วยหลวงตาวาส ลงตะกรุด โดยลงที่บ้านบ้าง ที่ร้านบ้างม้วนเป็นตะกรุดให้หลวงตาถักเชือกเอง เพราะในยุคนั้นหลวงตาวาสจะถักตะกรุดด้วยสายสิญจน์จะได้มีตะกรุดที่เหมือน ๆ กัน ตอนนั้นหลวงตาให้ทำบุญดอกละ 300 บาท คนต้องการมากเข้าก็ทำไม่ไหว ตอนหลังต้องขึ้นราคาเป็นราคาเป็น 500 บาท คนก็ยังแห่มาเช่าจนทำไม่ทัน เพราะตะกรุดทุกดอกต้องจารด้วยลายมือทั้งหมดไม่ใช้เครื่องปั๊ม หรือเขียนยันต์เฉย ๆ ไม่ต้องเรียก ต้องเสกตามขั้นตอนตลอดกว่าจะได้เป็นตะกรุดมหาโสฬสสักดอกไม่ใช่ง่าย ๆ อีกทั้งต้องถักเชือกและทารักอีก
พวกเห็นแก่ได้
เมื่อลงตะกรุดมาก ๆ เข้าก็เกิดความสงสัยว่าทำไมตะกรุดมหาโสฬสจึงมีคนมาเช่าบูชากันมากจัง เพราะคนที่มีตะกรุดหรือได้ตะกรุดไปแล้ว ก็ไม่เห็นจะต้องมาเช่าตะกรุดบ่อย ๆ จึงได้สอบถามและออกไปหาความจริงข้างนอกตามศูนย์พระเครื่องและตลาดพระในสมัยนั้น ก็ปรากฏว่ามีคนได้มาขอเช่าตะกรุดจากหลวงตาวาสและนำไปให้เช่าบูชาต่อแต่บอกว่าเป็นตะกรุดของหลวงพ่อทองสุข อดีตเจ้าอาวาสวัดสะพานสูง ซึ่งมีราคามมากกว่า เพราะตะกรุดมีความคล้ายคลึงกันมาก เพราะหลวงตาวาส ตอนเป็นฆราวาสก็เคยลงตะกรุดให้หลวงพ่อทองสุข พวกเห็นแก่ได้จึงนำตะกรุดของหลวงตาวาสไปทำให้เก่าแล้วให้บูชาเป็นของหลวงพ่อทองสุข ซึ่งได้ราคากว่า
แล้วแต่วาสนา
พอบอกให้หลวงตาวาสรู้ หลวงตาวาสก็ไม่ได้โกรธอะไร กับบอกว่า “พวกเขาคงจะไม่ค่อยมีเงิน จึงทำมาหากินแบบโกงคนอื่น ช่างเขาเถอะอย่างน้อยก็เป็นตะกรุดของเรา ดีกว่าให้เขาขายโดยไม่มียันต์อะไรเลย จะเสียชื่อของหลวงปู่เอี่ยมเปล่า ๆ เราก็ทำของเราไป เขาอยากจะโกงก็เรื่องของเขา กรรมของใครของมันไม่เกี่ยวอะไรกัน เจตนาต่างกัน บุญกุศลที่ได้ก็ต่างกัน เราทำเครื่องมงคลให้คนไปใช้ เขาจะใช้หรือไม่ใช้ก็แล้วแต่วาสนาของแต่ละบุคคล แล้วแต่ว่าเราจะเชื่อหรือไม่ ของเป็นของเขาแล้ว เวรกรรมของแต่ละบุคคล ไปฝืนมากคงไม่ได้”
ตะกรุดมหาโสฬสมงคล ดอกละ 500 บาท
หลวงตาวาสให้บูชาตะกรุดมหาโสฬสดอกละ 500 บาท จึงมีคนมาขอเช่ากันมากเพราะเป็นตะกรุดที่จารด้วยมือทุกดอก แต่ละดอกต้องลงอักขระและเสกยันต์ทั้งสองด้าน รวมกันมีอักขระเลขยันต์ มากกว่า 100 ตัว ประกอบจากยันต์นับสิบชุด ต้องลง ต้องเรียกอักขระเลขยันต์ตามสูตร และปลุกเสกอีกไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ขนาดช่วยหลวงตาลงด้วย ยังทำไม่ทัน กับที่มีคนมาขอเช่าบูชา หลวงตาวาสก็เหนื่อย เพราะต้องถักเองด้วย บางครั้งทารักยังไม่ทันจะแห้งก็มีคนบูชาทั้งไม้เสียก็มี เพราะถ้าขืนคอยจนรักแห้งก็คงจะหมดอดได้กิน
ตะกรุดมหาโสฬส ดอกละ 1000 บาทแล้วจ้า
มีคนมาเช่าตะกรุดมหาโสฬสกันมาก จนทำกันไม่ไหว ก็เลยขออนุญาตให้หลวงตาวาสให้บูชาตะกรุดดอกละ 1,000 บาท หลวงตาก็บอกว่า “ราคาแพงนะ เดี๋ยวคนไม่มีเงินจะมาเช่ากันไม่ไหว คนที่เขานับถือแต่ไม่ค่อยมีเงินก็จะต้องลำบากหาเงินมาเช่ากัน” ก็เลยต้องบอกหลวงตาวาสว่า คนที่ไม่มีเงิน เราก็แจกของอย่างอื่นเอาไปใช้แทนตะกรุดก็ได้ หลวงตาวาสจึงยอมเห็นด้วย และให้บูชาตะกรุดมหาโสฬสในราคา 1,000 บาท ตั้งแต่นั้นมา
หลวงตาวาสมีเวลาพักผ่อนบ้าง
พอตะกรุดมหาโสฬสมงคลให้เช่าบูชาดอกละ 1,000 บาท ก็ทำให้พวกที่จะนำขายเป็นหลวงพ่อทองสุข ได้กำไรน้อยลง ตอนนั้น ตะกรุดของหลวงพ่อทองสุข ให้เช่าบูชากันในราคาประมาณ 2,500 – 3,000 บาท พวกขี้โกง จึงมาเช่ากับหลวงตาน้อยลง แต่ก็มีกลุ่มที่เป็นลูกศิษย์ ที่มีศรัทธากับหลวงตาวาส ก็ยังมาเช่าบูชาตะกรุดกันไม่ขาดสาย เฉลี่ยนแล้วอาทิตย์ละ 40 – 50 ดอก หลวงตาวาสจึงไม่ต้องเหนื่อยมากนัก ได้มีเวลาพักผ่อน มีเวลาทำพระปิดตาแจกบ้างก็มี