ควรทำอย่างไร เมี่อมีเวรกรรมตามมา
ในทางพระพุทธศาสนา เท่าที่ผู้เขียนได้เรียนรู้มา เราไม่สามารถ ลบล้างหรือแก้วิบากกรรม ที่เราได้ก่อขึ้น สร้างขึ้น ไม่ว่าจะมาก จะน้อย จะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตามแต่ก็มีวิธีแก้ไขให้หนักเป็นเบา ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ดั่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สั่งสอนไว้ วิธีง่าย ๆ ให้หมั่นสวดมนต์ ไหว้พระ เจริญสมาธิ สร้างปัญญา ให้จิตรู้จักธรรม(ธรรมชาติ สิ่งที่มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็จะดับไป) อย่าไปยึดติดความเป็นตัวตนของตนว่าตัวเราของเรา โน่นก็ของเรา นั่นก็ของเรา นี่ก็ของเรา เขากำลังเอาเปรียบเรา เขากำลังจะแย่งของ ๆ เรา ปวดหัวไปหมดเพราะไปหลงติดอยู่กับตัวเรา ทุกสิ่งทุกอย่างต่างก็ต้องมีการเกิดขึ้น มีการคงอยู่แล้วก็จะสูญสลายไปเป็นของธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นตัวเรา ของของเรา ทรัพย์สินเงินทองแม้แต่อายุขัยของเราเอง เราอาจจะต้องล้มตายไปในวันนี้ หรือพรุ่งนี้ก็ได้ไม่มีใครรู้
ใช้สติช่วยให้พ้นทุกข์
ทางพระพุทธศาสนาจึงสอนให้หมั่นเจริญสมาธิ รักษาสติ (หมั่นทำให้จิตปกติหรือให้จิตสงบ) ไม่คล้อยตามจิตที่ฟุ้งซ่าน ไม่หลงติดยึดกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบ ๆ รายของเรามากจนเกินไป ใช้สติระลึกให้ได้เสมอว่า เรากำลังทำอะไรอยู่ ถูกต้องหรือไม่ มีประโยชน์หรือไม่ จะต้องทำสิ่งนั้น ๆ หรือไม่ ใช่หน้าที่ของตัวเรา(หากไม่สามารถระลึกนึกถึงได้หรือไม่สามารถจำได้ให้ลองใช้การจดบันทึกถึงสิ่งที่เราทำและหมั่นย้อนลับไปอ่านและวิเคราะห์ดูว่าสิ่งที่เราได้ทำผ่านมาแล้วเป็นอย่างไร ในแง่มุมของเรา เราคิดเห็นสมควรอย่างไรและในแง่มุมของผู้อื่นจะคิดเห็นอย่างไร หากเราเป็นเขา เขาเป็นเรา ณ เวลาที่ตรงนั้นและเมื่อวันเวลาที่ได้ผ่านเลยมา ผลของมันจะเป็นเช่นไร) เมื่อตัวเรามีสติ ยิ่งมีสติได้ในทุกขณะเราก็จะเห็นว่าไม่ว่าวิบากกรรมหรือความสุข ความทุกข์ ความดีใจ ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นเพราะตัวเราหลงคิดยึดติดว่าเป็นตัวเราของเรา ความหลงผิดนั้นจึงพาเราให้ต้องลำบาก ต้องกลัวเพราะความยึดติด จึงทำให้เราขาดความเชื่อมั่น ขาดสติ หากเรามีสมาธิ มีสติ ความกลัวก็จะหมดไป เราก็จะสามารถเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยสติปัญญาของเราด้วยตัวเรา ด้วยความมั่นใจ
จะดำรงชีวิตอย่างไร
เมื่อเรามีสติ จิตเริ่มวางเฉยกับสิ่งต่าง ๆ ได้ แต่เราก็จะต้องรู้ว่า ตัวเรายังคงความเป็นมนุษย์ ต้องมีหน้าที่ต่อตนเองและต่อผู้อื่น ไม่ใช่จะตั้งหน้าตั้งตาจะปฏิบัติธรรมเพื่อให้บรรลุมรรคผล หรือเพื่อความสุข ความสงบของตนเท่านั้น จนหลงติดอยู่แต่ทางธามอย่างเดียวก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะตัวเราก็จะต้องมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และก็ดับไปเช่นกัน เหมือนกับทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องมีหน้าที่ที่จะทำให้ชีวิตที่ยังคงอยู่นี้มีความสุขตามอัตภาพ ต้องรู้จักการทำมาหากิน และที่สำคัญหาเก็บไว้ใช้เผื่อภายหน้า หากเราไม่สามารถที่จะทำได้อีก เราก็พอจะมีไว้ใช้จ่ายโยไม่เดือดร้อนตนเองและผู้อื่น เราจะต้องไม่เบียดเบียนผู้อื่น เพราะตัวของเราเองก็ไม่อยากให้ใครมาเบียดเบียนเหมือนกัน เราจึงควรรู้จักที่จะดูแลตัวเรา และดูแลช่วยเหลือผู้อื่น หาเราทำได้เราก็จะได้รับรู้ถึงความรู้สึกแห่งชีวิตที่มีคุณค่าของเรา ที่เราทำได้ด้วยตัวเราเอง
ทดลองทำชีวิตให้มีคุณค่า
เริ่มที่ตัวเราก่อน ดูแลสุขภาพร่างกายของเราให้ดี ล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำ สระผม แต่งตัวให้สะอาดกินอาหารที่ไม่มีโทษ ออกกำลังกายให้พอเหมาะ ทำงานหาเงิน รู้จักกิน รู้จักใช้ ทำจิตใจให้สงบ หาเวลาสวดมนต์ไหว้พระ รักษาจิตใจให้สงบ พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ เมื่อเราดูแลตัวเราได้แล้ว ก็หมั่นดูแลผู้อื่น พ่อ แม่ ลูกเมีย พี่น้อง ญาติมิตรและผู้อื่นตามเหตุอันสมควรแก่บุคคลนั้น ๆ ด้วยสติพิจารณาให้รู้ว่าควรจะทำอย่างไรแค่ไหนเมื่อเราสร้างแต่สิ่งที่ดีงาม เราก็จะพบกับสิ่งที่ดีงามเช่นกัน ถึงแม้วิบากกรรมจาแวะเวียนเยี่ยมเยียนเราบ้าง ก็พึงพิจารณาให้เห็นความเป็นธรรมดาของสัตว์โลกที่ต้องมีทุกข์ มีสุข ปะปนกันไป เพราะไม่ใช่มีแค่เราที่เป็นทุกข์ ความทุกข์เป็นสมบัติของทุก ๆ คน แต่ก็เราไม่ยึดมั่นในทุกข์นั้น ค่อยหาทางแก้ไข เราก็จะไม่มีความทุกข์ เราก็จะมีแต่ความสุข ความสงบในชีวิตของเรา